วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เยอบีร่า

เยอบีร่า ชื่อสามัญ : Gerbera , Barberton daisy ชื่อวิทยาศาสตร์: Gerbera jamesonii วงศ์: Compositae ถิ่นกำเนิด: South Africa แหล่งผลิตเยอบีร่า ภาคเหนือ : เชียงราย พิษณุโลก เชียงใหม่ พิจิตร ภาคใต้ : ภูเก็ต นครศรีธรรมราช ภาคกลาง : สมุทรสาคร นนทบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : ขอนแก่น อุบลร
าชธานี ลักษณะของเยอบีร่า เยอบีร่าเป็นไม้ดอกที่มีลักษณะต้นเป็นกอเตี้ย ๆ มีลำต้นอยู่ใต้ดิน เป็นไม้พรรณพุ่ม ใบและก้านจะงอกจากตาที่ติดอยู่กับลำต้นใต้ดิน ขอบใบหยักเป็นแฉกแต่จะหยักลึกไม่เท่ากัน แผ่นใบนั้นไม่คลี่กางเต็มที่ ขอบใบทั้งสองข้างจะหุบเข้าหาเส้นกลางใบเล็กน้อย ก้านใบและใบมีขนละเอียด ขึ้นอยู่ทั่วไป ดอกเยอบีร่ามีลักษณะเป็นดอกรวมประกอบด้วยดอกย่อยเล็ก ๆ เป็นจำนวนมากอัดกันแน่นอยู่บนฐานรองดอก ดอกย่อยนี้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ - ดอกชั้นใน เรียกว่า ดิส ฟลอเร็ต (Disc florets) เรียงอยู่ชั้นในรอบใจกลางดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศมีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย เกสรตัวเมียของดอกชั้นในส่วนใหญ่จะเป็นหมัน - ดอกชั้นนอก เรียกว่า เร ฟลอเร็ต (Ray florets) เป็นดอกตัวเมีย ไม่มีเกสรตัวผู้ พันธุ์เยอบีร่า 1.สายพันธุ์ไทย เป็นพันธุ์ที่พัฒนามาจากพันธุ์ดั้งเดิมที่นำเข้ามาปลูก มีลักษณะกลีบดอกแคบยาวซ้อนลดหลั่นลงมา มีสีสันไม่ค่อยสดใสนัก บางพันธุ์อาจมีกลีบดอกเป็นฝอย เรียกว่าหน้ายุ่ง ก้านดอกเล็กและสั้น ใบมีขนาดเล็ก ปรับตัวเขากับสภาพอากาศของภาคกลางได้ดีแต่มีอายุการปักแจกันสั้น เช่น - กลุ่มดอกสีขาว : พันธุ์ขาวจักรยาว, ขาวจักรสั้น - กลุ่มดอกสีเหลือง : พันธุ์เหลืองถ่อ, เหลืองพังสี - กลุ่มดอกสีชมพู : พันธุ์บัวหลวง,มณฑา - กลุ่มดอกสีแสด : พันธุ์สุรเสน,จำปา - กลุ่มดอกสีแดง : พันธุ์แดงลักแทง,แดงตาเปิ่น 2. สายพันธุ์ยุโรป มีดอกชั้นเดียว ซ้อนหรือกึ่งซ้อน กลีบดอกกว้างกว่าสายพันธุ์ไทย 2-3 เท่า กลีบดอกหนา ก้านดอกใหญ่ยาวและแข็งแรง มีอายุการปักแจกันนาน ใบมีขนาดใหญ่กว่าสายพันธุ์ไทย ใจกลางดอกใหญ่ส่วนมากจะเป็นสีเหลือง หากเป็นสีดำหรือน้ำตาลเข้มเรียกว่า ไส้ดำ เยอบีร่าสายพันธุ์ยุโรปอาจแบ่งย่อยตามการซื้อขายในตลาดโลก ได้ดังนี้ - ดอกชั้นเดียว มีกลีบดอกกว้างป้อมชั้นเดียวและหนาเยอบีร่าประเภทนี้ได้รับความนิยมสูงมากในปัจจุบัน เช่น พันธุ์เออบานัสเทอร่าเฟม(ดอกสีเหลือง) , แปซิฟิก(ดอกสีชมพู), เซมิน่า(ดอกสีแดง) - ดอกซ้อนและกึ่งซ้อน มีกลีบดอกหลายชั้น เช่น พันธุ์วิเซิด ( ดอกสีชมพู แดง/ขาว) , ฟิกาโร (ดอกสีชมพู) , เทอร่าสปิริท (ดอกสีแสดแดง) , อิมพาล่า ( ดอกสีขาว) - ไส้ดำ เช่น พันธุ์เออบานัส (ดอกสีทองแดง) , แพนเทอร์(ดอกสีแดง) ,ริจิลิโอ (ดอกสีแดง), เล็บเพิด (ดอกสีเหลือง), ฟลามิงโก้ (ดอกสีชมพู) 3. สายพันธุ์อเมริกาและสายพันธุ์ออสเตรเลีย ลักษณะของกลีบดอกแคบยาวใจกลางดอกมีขนาดเล็กก้านดอกเล็กยาวคุณภาพและอายุการปักแจกันสู้พันธุ์ยุโรปไม่ได้ การขยายพันธุ์เยอบีร่า - การเพาะเมล็ด เมล็ดของเยอบีร่าจะมีลักษณะโค้งงอคล้ายรูปเคียว ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร วัสดุเพาะจะใช้ส่วนผสมของขุยมะพร้าวกับทรายหยาบ ในอัตราส่วน 1:1 ใส่ในกระบะพลาสติกซึ่งรองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เกลี่ยหน้าดินให้เรียบเสมอกัน ใช้ไม้ทำร่องตามขวางของกระบะ ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว นำเมล็ดวางเรียงในร่องกลบด้วยวัสดุเพาะแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ประมาณ 3-5 วันเมล็ดจะงอก เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ จึงทำการย้ายลงถุงชำโดยใช้ดินผสมที่มีดินร่วน ปุ๋ยคอก แกลบและขี้เถ้าแกลบ ในอัตรา 1 :1 : 1 : 1 เป็นวัสดุปลูก นำไปวางไว้ในที่ร่มแดดรำไร เมื่อต้นกล้ามีอายุ 2.5-3 เดือน จึงย้ายลงแปลงปลูก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 4- 4.5 เดือน จึงเริ่มให้ดอก การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดจะไม่ใช้ในระบบการผลิตเพื่อตัดดอกขาย แต่จะใช้เพื่อปรับปรุงพันธุ์เท่านั้น - การแยกหน่อ เป็นวิธีที่ใช้กันมากเพราะทำได้ง่ายและสะดวกการแยกหน่อเยอบีร่าควรทำเมื่อต้นเยอบีร่ามีอายุมากกว่า 7 เดือนโดยการขุดต้นเยอบีร่าขึ้นมาทั้งกอล้างดินออกให้หมดจึงแยกหน่อแต่ละหน่อควรมีควรมียอดอยู่อย่างน้อย 1 ยอด มีใบ 4-5 ใบ และมีรากติดอย่างน้อย 3 รากตัดรากและใบออกประมาณครึ่งหนึ่งเพื่อลดการคายน้ำจากนั้นนำหน่อที่แยกไปชำในกะบะที่มีวัสดุเพาะชำ เช่น ทรายและขุยมะพร้าว อัตราส่วน 1:1 ควรระวัง ไม่ให้ดินกลบยอดเพราะจะทำให้เน่าได้ง่าย หลังจากนั้นนำไปวางไว้ในที่ร่มประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่อต้นมีอายุ 4-5 สัปดาห์ จึงย้ายลงแปลงต่อไป - การชำยอด การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้จะได้จำนวนต้นมากกว่าการแยกหน่อ แต่ต้นชำอาจเน่าได้ง่ายหากไม่ชำนาญพอการชำยอด ทำได้โดยการขุดต้นเยอบีร่าขึ้นมาทั้งกอ ล้างน้ำให้สะอาดตัดใบออกให้เหลือก้านใบประมาณ 5 เซนติเมตร ตัดยอดออกเพื่อกระตุ้นให้เกิดตาข้างแล้วนำไปชำในกะบะทราย เมื่อมียอดอ่อนแตกจากลำต้น จึงตัดและจุ่มฮอร์โมนเร่งราก แล้วนำไปชำจนออกรากก่อนย้ายปลูกลงถุงต่อไป - วิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ วิธีนี้สามารถผลิตต้นพันธุ์ได้จำนวนมากในระยะเวลาอันสั้นได้ต้นที่แข็งแรงปลอดโรคและตรงตามพันธุ์หลังจากนำต้นลงปลูกแล้วประมาณ 6 เดือน จึงจะให้ดอก ปัจจุบันการขยายพันธุ์เยอบีร่าเพื่อการค้านิยมวิธีการแยกหน่อและการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การปฏิบัติดูแลรักษาเยอบีร่า - ในสภาพท้องที่ ที่มีแสงแดดจัดมาก ควรปลูกเยอบีร่าในโรงเรือนที่มีความสูงอย่างน้อย 2.5 เมตร หลังคาใช้ซาแรนพลางแสงร้อยละ 50 เพื่อให้ก้านดอกยาว และดอกมีสีสันดีขึ้น นอกจากนี้ในฤดูฝนควรคลุมหลังคาโรงเรือนด้วยพลาสติกใสกันฝน เพื่อให้ดอกมีคุณภาพดีขึ้น และป้องกันการเกิดโรค - ควรดูแลแปลงปลูกให้มีความชื้นตลอดเวลา - พรวนดินหลังจากต้นเยอบีร่าตั้งตัวดีแล้ว เพื่อช่วยให้ดินโปร่ง และเป็นการกำจัดวัชพืชไปในตัว และควรระวังรากเยอบีร่าจะขาด เพราะในช่วงนี้เยอบีร่ากำลังแตกรากใหม่ - ควรจัดหาวัสดุคลุม แปลง เช่นฟางข้าว เปลือกถั่ว แกลบผุ หรืออื่น ๆ เพื่อให้ดินสามารถเก็บความชื้นได้นาน และยังป้องกันหน้าดินแน่น และดินกระเด็นมาถูกใบขณะรดน้ำด้วย - การแต่งพุ่ม หลังจากปลูกเยอบีร่าแล้วต้นจะเจริญเติบโตแตกกอพร้อมทั้งให้ดอก การดูแลนอกจากจะต้องตัดใบแก่ที่เหี่ยวแห้งหรือเป็นโรคออกทิ้งแล้วหากพุ่มแน่นเกินไป จะต้องตัดแต่งใบออกไม่ให้บังกันโดยให้มีใบเหลืออยู่ติดกับต้นประมาณ 20-25 ใบ - เยอบีร่าต้องการน้ำมากแต่ไม่ชอบน้ำ ระยะ 2-3 สัปดาห์แรกควรให้น้ำแบบสปริงเกอร์ ต่อมาควรให้น้ำแบบหยดเพราะจะทำให้ได้น้ำสม่ำเสมอและน้ำไม่เปียกใบและดอก การให้น้ำไม่สม่ำเสมอจะทำให้ก้านดอกเปราะ แตก และหักได้ง่าย - ปุ๋ยที่ให้เยอบีร่า แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรกตั้งแต่ระยะต้นเริ่มแตกใบใหม่จนถึงระยะต้นมีดอกแรกใช้ปุ๋ยเกล็ดสูตร 21-21-21 อัตรา 3 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 20 ลิตร ให้ร่วมกับธาตุรองทุก 7 วัน ส่วนช่วงที่สอง หลังจากที่เยอบีร่าออกดอกแล้ว ใช้ปุ๋ยสูตร 10-52-17 อัตรา 3 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 20 ลิตร รดสลับกับปุ๋ยยูเรีย ทุก 15 วัน การเก็บเกี่ยวเยอบีร่า ควรเก็บดอกในระยะที่เกสรตัวผู้บาน 1-2 วง โดยจับก้านดอกโยกเข้าหาตัวแล้วกระตุกขึ้น เนื่องจากตรงโคนก้านดอกจะเป็นเนื้อเยื่อที่แข็งสามารถป้องกันการสูญเสียน้ำของดอกได้ เมื่อดึงดอกออกมาแล้วให้รีบนำไปแช่น้ำ เวลาเก็บเกี่ยวเยอบีร่าทำได้ทั้งในช่วงเช้าและบ่าย การใช้สารเคมีหลังการเก็บเกี่ยวเยอบีร่า หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วจะแช่ดอกเยอบีร่าในสารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรด์ 5% หรือสารฟอกผ้าขาว อัตรา 7 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร โดยน้ำที่ใช้ต้องเป็นน้ำที่สะอาด ก่อนนำก้านลงแช่ให้ตัดปลายก้านออก 2เซนติเมตร เพราะส่วนปลายก้านที่ติดอยู่กับต้นเป็นเนื้อเยื่อที่แข็งสามารถดูดน้ำได้น้อย และแช่จนกว่าจะนำไปบรรจุหีบห่อต่อ สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตเยอบีร่า - พื้นที่ปลูก สามารถปลูกได้ในดินที่ร่วนซุย อากาศถ่ายเทได้ดี และมีความชื้นในดินสม่ำเสมอ การระบายน้ำดี มีอินทรีย์วัตถุสูง ดินควรมีค่า pH 5.5 – 6.5 - อุณหภูมิ กลางวัน 21 – 25 0C กลางคืน 15 – 17 0C - แสง ปลูกใต้ซาแลนที่พรางแสงได้ 50 % - ความชื้น ความชื้นสัมพัทธ์ 80%

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น